ผู้ชายและผู้หญิง วัย 20+ ส่วนใหญ่มักจะเจอปัญหาการเป็น “สิว” โดยสิวนั้นมีหลายประเภทและมีสาเหตุที่ทำให้เกิดแตกต่างกันออกไป ในบทความนี้เราจะมาบอกถึงประเภทของสิวว่าแต่ละประเภทนั้นเกิดจากอะไร พร้อมบอกวิธีการป้องกันการเป็นสิวและรักษาสิวที่ถูกต้อง
ประเภทของสิว
สิวสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ๆ ได้แก่
สิวไม่อักเสบ (Noninflammatory acne)
คือ สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ได้แก่ สิวหัวดำและสิวหัวขาว โดยปกติแล้วสิวประเภทนี้จะไม่ทำให้เกิดอาการบวม
– สิวหัวดำ (Blackheads)
สิวหัวดำ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีดำเล็กๆ มักจะพบบริเวณทีโซน คือ หน้าผาก จมูก และคาง เกิดจากรูขุมขนอุดตันจากความมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และน้ำมันที่อยู่บนผิวหน้าของเราทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ จึงทำให้หัวสิวกลายเป็นสีดำ
– สิวหัวขาว (Whiteheads)
สิวหัวขาว มีลักษณะเป็นตุ่มนูนขนาดเล็กอยู่ใต้ผิวหนัง เกิดจากการอุดตันของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วในต่อมไขมันและรูขุมขน เมื่อปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นสิวอักเสบ ซึ่งสิวหัวขาวจะรักษาได้ยากกว่าสิวหัวดำ เพราะรูขุมขนปิดอยู่แล้ว
สิวอักเสบ (Inflammatory acne)
คือ สิวที่มีสีแดงและบวม แม้ว่าความมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะทำให้เกิดสิวอักเสบ แต่แบคทีเรียก็สามารถมีบทบาทในการอุดตันรูขุมขนได้เช่นกัน แบคทีเรียสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนังได้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดรอยสิวที่เจ็บปวดจนยากจะกำจัดได้
– สิวที่มีตุ่มนูนแดง (Papule)
เป็นสิวที่มีลักษณะตุ่มนูน สีแดง เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ผสมกับการอุดตันของรูขุมขน ที่ถูกรบกวนจากการกด บีบ แคะ หรือ แกะสิว ทำให้เกิดเป็นสิวอักเสบในที่สุด
– สิวหัวหนอง (Pustule)
เป็นสิวที่มีลักษณะที่เป็นตุ่มหนอง มักมีหัวสีเหลืองหรือสีขาวอยู่ด้านบน เกิดจากทั้งแบคทีเรียและเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน โดยสิวหัวหนองต้องเกิดการติดเชื้อไปสักระยะหนึ่ง จนหนองก่อตัวขึ้นมาที่ใต้ผิวหนัง
– สิวหัวช้าง (Nodule)
เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นก้อนสีแดงที่ขนาดใหญ่ โดยอาจพบเป็นหลายหัวสิวที่อยู่ติดกัน เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยสิวหัวช้างจะอยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนังต่างจากสิวหัวหนอง เมื่อสัมผัสจะรู้สึกแข็งเป็นไต คล้าย สิวไม่มีหัว
– สิวชีตส์ (Cyst)
เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือสีขาวขนาดใหญ่ เกิดจากการรติดเชื้อที่รุนแรง สิวประเภทนี้มักทำให้เกิดแผลเป็นมากที่สุด
ความรุนแรงของสิวแต่ละประเภทจากน้อยไปมาก
– สิวหัวดำและสิวหัวขาว เป็นสิวที่ไม่รุนแรงที่สุด
บางครั้งสามารถกำจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปได้ด้วยยาแต้มสิวเฉพาะที่ที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ที่ร้านขายยา
– สิวที่มีตุ่มนูนแดงและสิวหัวหนอง เป็นสิวที่มีความรุนแรงระดับปานกลาง
โดยบางครั้งอาจจะรักษาด้วยตัวเองไม้ได้ อาจจะต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางโรคผิวหนัง
– สิวหัวช้างและสิวซีสต์ เป็นสิวที่มีความรุนแรงที่สุดของสิว
หากเป็นต้องไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อกำจัดสิวที่รุนแรงออก เพราะหากไปสัมผัส แกะ เกาอาจทำให้เกิดแผลเป็นได้
วิธีการป้องกันและรักษาสิวที่ถูกต้อง
ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาสิวเรื้อรัง ก็จะรู้ว่าการรักษาผิวเป็นเรื่องยาก โดยต่อไปนี้จะเป็นวิธีการป้องกันและรักษาสิว ที่ทุกคนสามารถทำได้
1. ล้างหน้าให้ถูกวิธี
สิวสามารถขึ้นได้ทุกที่บนผิวหนัง แต่ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นบนใบหน้า เพราะฉะนั้นการกำจัดน้ำมัน สิ่งสกปรก และเหงื่อทุกวันสามารถช่วยป้องกันสิวได้ แต่ต้องระวังเพราะการล้างหน้ามากเกินไปอาจทำให้สิวแย่ลงได้ โดยเราควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง คือตอนตื่นนอน และก่อนนอน ซึ่งควรใช้โฟมล้างหน้าที่ปราศจากซัลเฟต น้ำหอม และต้องมีความอ่อนโยน และที่สำคัญห้ามล้างหน้าด้วยการถูแรงๆ เพราะสามารถทำให้หน้าแห้งได้
วิธีการล้างหน้าที่ถูกต้อง
– ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น (ไม่ร้อน)
– นำโฟมล้างหน้ามาวนเป็นวงกลมบนมือจนเกิดฟอง และถูทำความสะอาดเบาๆ ให้ทั่วใบหน้า
– ล้างโฟมออกให้หมดและซับหน้าด้วยผ้าสะอาดให้แห้ง
2. รู้จักประเภทผิวของตัวเอง
การรู้ว่าประเภทผิวของตัวเองเป็นยังไง ทำให้สามารถเลือกและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและถูกต้องมากขึ้น โดยสามารถแบ่งประเภทของผิวได้ 4 ประเภท คือ
– ผิวแห้ง ผิวจะมีความรู้สึกเป็นขุยและตึง
– ผิวมัน ผิวจะดูมีความมันวาวในตอนท้ายของวัน
– ผิวผสม เป็นผิวที่มีทั้งบริเวณแห้งแมัน มักจะเป็นบริเวณทีโซน หรือหน้าผาก จมูก และคาง
– ผิวอ่อนไหวง่าย เป็นผิวที่ตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ได้ง่าย และมีแนวโน้มที่จะเกิดผื่น สีผิวเปลี่ยนไป หรือระคายเคืองได้ง่ายมากๆ
โดยหากรู้ตัวว่าตัวเองเป็นคนที่มีผิวมันก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ควบคุมความมันบนใบหน้า หรือหากเป็นคนที่ผิวอ่อนไหวง่ายควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีผสมออกฤทธิ์มากเกินไป เพราะอาจทำลายเกราะป้องกันผิวของคุณและทำให้เกิดสิวมากขึ้นอีกด้วย
3. ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์
การใช้มอยเจอร์ไรเซอร์จะช่วยให้ผิวคงความชุ่มชื้นไว้ ซึ่งหากมีผิวที่แห้งเกินไป ร่างกายจะผลิตน้ำมันขึ้นมาเพื่อชดเชยความแห้งกร้าน ซึ่งน้ำมันส่วนเกินตรงนี้ทำให้เกิดสิวได้
อย่างไรก็ตาม มอยส์เจอร์ไรเซอร์ในท้องตลาดมีให้เลือกหลายชนิด บางชนิดอาจะมีส่วนผสมของน้ำมัน น้ำหอมสังเคราะห์ หรือส่วนผสมอื่นๆ ที่อาจระคายเคืองผิวและทำให้เกิดสิวได้ จึงอย่าลืมตรวจสอบรายการส่วนผสมก่อนซื้อมอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีน้ำหอมและไม่ก่อให้เกิดสิว
4. จำกัดการแต่งหน้า
แม้ว่าคุณอาจจะรู้สึกอยากแต่งหน้าเพื่อปกปิดสิว แต่การทำเช่นนั้นอาจไปเพิ่มการอุดตันของรูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้นได้
แต่หากไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าได้ จึงควรเลือกใช้รองพื้นหรือคอนซีลเลอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดสิวและปราศจากน้ำหอม เพื่อให้ผิวของคุณไม่เกิดการระคายเคืองมากขึ้น และที่สำคัญอย่าลืมล้างเครื่องสำอางออกหลังสิ้นสุดวันและโดยเฉพาะก่อนเข้านอน
5. พยายามอย่าสัมผัสใบหน้า
การสัมผัสใบหน้าสามารถทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกไปอุดตันที่รูขุมของผิวได้ ซึ่งบางครั้งเราอาจจะมีเผลอเอามือไปจับหน้าโดยที่ไม่รู้ตัว จึงควรป้องกันด้วยการล้างทำความสะอาดมือบ่อยๆ เพื่อไม่ให้มีสิ่งสกปรกที่มือ
6. ไม่บีบสิว
การบีบสิวไม่ช่วยให้การเป็นสิวดีขึ้น แต่จะทำให้แย่ลง ทั้งทำให้เกิดการติดเชื้อ จนอักเสบแล้วอุดตันบริเวณรูขุมขน และทำให้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้ จึงไม่ควรที่จะบีบหรือแกะสิว
7. หลีกเลี่ยงอาหารบางชนิด
อาหารบางชนิดอาจไปเพิ่มหรือกระตุ้นให้เกิดสิวได้ เช่น อาหารแปรรูป, ผลิตภัณฑ์นม, แอลกอฮอล์ หรือน้ำตาลทรายขาว
8. ทำกิจกรรมคลายเครียด
การทำกิจกรรมคลายเครียด จะช่วยให้อาการของสิงดีขึ้น เพราะหากเรามีความเครียด ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนกระตุ้นความมันออกมามากเกินไปจนทำให้เกิดสิวได้ ตัวอย่างกิจกรรมที่ช่วยคลายเครียดได้ เช่น โยคะ, การทำสมาธิ, นวด หรือ ออกกำลังกาย
สาระน่ารู้!
สังกะสี หรือ Zinc ช่วยลดการอักเสบของผิวที่มีสิว ลดความมันบนใบหน้าได้
Zinc เป็นสารอาหารสำคัญที่พบในอาหารพืชและสัตว์หลายชนิด พร้อมด้วยอาหารเสริม มีบทบาทสำคัญในสุขภาพผิว การทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และการเจริญเติบโตของเซลล์
Zinc สามารถช่วยต่อสู้กับไวรัสและแบคทีเรียได้ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ โดยช่วยบรรเทาอาการรอยแดงและการระคายเคืองที่เกี่ยวข้องกับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรงได้ นอกจากนี้ยังอาจช่วยลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย
สรุป
สิว สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้ชายและผู้หญิงวัย 20+ สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อรูขุมขนเกิดการอุดตันจากเหงื่อหรือสิ่งสกปรก และสามารถเกิดได้จากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย โดยสิวแต่ละประเภทนั้นก็มีความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป จึงควรดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเพื่อไม่ให้เกิดความเครียด แต่หากสิวยังไม่มีอาการดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
– https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/12233-acne
– https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/types-of-acne#noninflammatory-acne
– https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/acne/diagnosis-treatment/drc-20368048
– https://www.healthline.com/health/acne/how-to-prevent-pimples#takeaway
– https://www.healthline.com/health/beauty-skin-care/zinc-for-acne#takeaway