การกินแคลเซียมร่วมกับวิตามิน D3 และวิตามิน K2 มีประโยชน์ต่อสุขภาพกระดูกเป็นอย่างมาก โดยแคลเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง วิตามิน D3 ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย และวิตามิน K2 ช่วยให้แคลเซียมถูกนำไปสะสมในกระดูกแทนที่จะไปสะสมในหลอดเลือด
ทำความรู้จัก “แคลเซียม” มากขึ้น
แคลเซียม (Calcium) คือ แร่ธาตุที่พบมากที่สุดในร่างกายมนุษย์ โดยประมาณ 99% ของแคลเซียมในร่างกายจะอยู่ในกระดูกและฟัน ส่วนอีก 1% จะอยู่นอกกระดูกและฟัน เช่น ในเลือด น้ำเหลือง และเนื้อเยื่อต่างๆ
หน้าที่สำคัญของ แคลเซียม
– สร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
– ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาท
– ช่วยให้เลือดแข็งตัว
– ควบคุมการทำงานของเซลล์
แหล่งอาหารของแคลเซียมที่สำคัญ
– นม และผลิตภัณฑ์จากนม
– ปลาเล็กปลาน้อย
– ถั่วเหลือง
– ถั่วเขียว
– งาดำ
– ผักใบเขียว
ซึ่งหากร่างกายขาดแคลเซียม อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด จึงควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมอย่างเพียงพอ
ทำความรู้จัก “วิตามิน D3” มากขึ้น
วิตามิน D3 หรือ คอเลแคลซิเฟอรอล (Cholecalciferol) คือ วิตามินที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์เองได้ เมื่อผิวหนังสัมผัสกับรังสีอัลตราไวโอเลต B (UVB) จากแสงแดด นอกจากนี้ยังพบได้ในอาหารบางชนิด เช่น ปลาที่มีไขมันสูง ไข่แดง เห็ด และน้ำมันตับปลา เป็นต้น และ วิตามิน D3 สามารถรับประทานเป็นอาหารเสริมได้
หน้าที่สำคัญของ วิตามิน D3
– ช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง
– ช่วยควบคุมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
– ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
– ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
วิธีรับวิตามิน D3
วิตามิน D3 สามารถรับได้จากสองแหล่งหลัก คือ
– การสัมผัสกับแสงแดด
การสัมผัสกับแสงแดด เป็นวิธีที่ร่างกายได้รับวิตามิน D3 ได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ร่างกายจะสังเคราะห์วิตามิน D3 ได้เมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงแดดในช่วงเช้าตรู่หรือช่วงเย็น โดยควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดในช่วงกลางวันที่มีรังสียูวีสูง
– การรับประทานอาหารที่มีวิตามิน D3
การรับประทานอาหารที่มีวิตามิน D3 เป็นอีกวิธีหนึ่งในการได้รับวิตามิน D3 แหล่งอาหารที่มีวิตามิน D3 สูง ได้แก่ ปลาที่มีไขมันสูง ไข่แดง เห็ด และน้ำมันตับปลา
ซึ่งหากร่างกายขาดวิตามิน D3 อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกอ่อน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคหัวใจและหลอดเลือดได้
ทำความรู้จัก “วิตามิน K2” มากขึ้น
วิตามิน K2 คือ วิตามินที่ละลายในไขมัน มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ชนิดที่พบมากที่สุดในอาหารคือเมนาควิโนน (Menaquinone) ซึ่งพบได้ในอาหารจากสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์ ตับ ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม และอาหารหมักดอง เช่น ชีส เนย โยเกิร์ต กะหล่ำปลีดอง ผักดอง
หน้าที่สำคัญของ วิตามิน K2
– ช่วยกระตุ้นการแข็งตัวของเลือด
– ช่วยนำแคลเซียมไปสะสมที่กระดูกและฟัน แทนที่จะไปสะสมที่ผนังหลอดเลือด
– ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
– ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน
– ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
ซึ่งหากร่างกายขาดวิตามิน K2 อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น โรคกระดูกพรุน โรคกระดูกอ่อน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคหัวใจและหลอดเลือดได้
แคลเซียม วิตามิน D3 และ วิตามิน K2 ช่วยดูแลบำรุงกระดูกได้ดีขึ้น
จะเห็นได้ชัดเลยว่าหากร่างกายขาดแคลเซียม วิตามิน D3 หรือ วิตามิน K2 จะทำให้ร่างกายเกิดปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับกระดูก
การศึกษาหลายชิ้นพบว่า การกินแคลเซียมร่วมกับวิตามิน D3 และวิตามิน K2 ช่วยลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดแข็งตัว และโรคหัวใจขาดเลือดได้
ซึ่งปริมาณแคลเซียมที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่อยู่ที่ 1,000 มิลลิกรัม สำหรับผู้สูงอายุอายุ 50 ปีขึ้นไปอยู่ที่ 1,200 มิลลิกรัม ปริมาณวิตามิน D3 ที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 15 ไมโครกรัม และปริมาณวิตามิน K2 ที่แนะนำต่อวันอยู่ที่ 100-200 ไมโครกรัม
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ต้องการเสริมวิตามินในชีวิตประจำวัน ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของทั้ง 3 ชนิด แคลเซียม, วิตามิน D3, วิตามิน K2 เพื่อตอบโจทย์เรื่องสุขภาพกระดูกและข้อที่แข็งแรงของวัยเก๋า 50+ ได้อย่างครบถ้วน
สรุป
การกินแคลเซียม ร่วมกับวิตามิน D3 และ วิตามิน K2 นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพกระดูกเป็นอย่างมาก โดยแคลเซียมเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง วิตามิน D3 ช่วยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกาย และวิตามิน K2 ช่วยนำแคลเซียมไปสะสมที่กระดูกและฟันได้ดีมากยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
– https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S037851222030284X
– https://www.healthline.com/health/8-fast-facts-about-calcium#takeaway
– https://www.medicalnewstoday.com/articles/248958